"นิราศแม่น้ำแคม"
๏ แสงอาทิตย์สะท้อนน้ำยามคล้อยบ่าย
ประดับผิวริ้วระรอกเป็นประกาย
ปรากฏลายความทรงจำลำน้ำแคม
มาศึกษาหาความรู้อยู่เมืองนอก
หวังออกดอกออกผลจนหลักแหลม
ต้องจากรังทิ้งรักนิราศแรม
ใบหน้าแย้มแต่ใจหม่นจนวิญญาณ์
ได้สายชลช่วยปลอบประโลมจิต
ดั่งญาติมิตรชิดใกล้ให้ปรึกษา
ลำน้ำเย็นเป็นเพื่อนคิดนิตยา
ให้พึ่งพาคราโศกเศร้าเหงาชีวิน
คิดคร่ำครวญความหลังริมฝั่งน้ำ
เหมือนจะย้ำยอกใจให้ถวิล
มองน้ำไหลลับลาน้ำตาริน
ในห้วงจินต์ความหลังหลั่งพรั่งพรู
๏ จะขอล่องท่องน้ำแคมอีกซักครั้ง
ชมสองฝั่งอาคารรามเรียงเคียงคู่
เมืองนักปราชญ์ศาสตร์ศิลป์ถิ่นเรียนรู้
ที่เราสู้ศึกษามาแรมปี
จึงลงพั้นท์พลันจับไม้ไว้ค้ำถ่อ
ไม่รีรอทิ้งไม้ลงให้ตรงที่
ก่อนดันลงบรรจงจับบังคับดี
สู่สายนทีที่คุ้นตาพาล่องไป
๏ เห็นดาร์วิ่นถิ่นเด็กไทยใจมุ่งมั่น
ห้องสมุดนั้นเคยนั่งฟังน้ำไหล
เกาะกลางน้ำงามสง่าพนาไพร
แหล่งพักใจใครเห็นเป็นปรีดี
อยากเป็นเกาะแกร่งกายกลางสายชล
แม้ต้องทนทานกระแสไม่แลหนี
จะยืนหยัดกัดฟันสู้แม้รู้ดี
ชีวิตนี้มิอาจต้านทานสายกาล
มองน้ำไหลไปลับไม่กลับหวน
จะรั้นสวนสายธาราอย่านึกหาญ
ดั่งเวลาลาล่วงแล้วแคล้วอันตรธาน
ทิ้งเพียงฝันของวันวานไว้จดจำ
โอ้ลำธารสานรักหวานเมื่อกาลก่อน
จะขอวอนเจ้าย้อนคืนวันชื่นฉ่ำ
เหตุไฉนไร้คำตอบเหมือนตอกย้ำ
ให้ชอกช้ำในน้ำเชี่ยวเปลี่ยวชีวา
๏ มาถึงควีนส์สะพานไม้ค่อมสายน้ำ
สักทองค้ำประคองสานบนฐานหนา
สะพานโค้งแผ่นไม้ตรงดูแปลกตา
วาดลีลาลวดลายงามคนตามชม
เห็นหมุดเหล็กสลักตอกตามซอกไม้
ดั่งดวงใจใส่สลักด้วยรักขม
ปลดไม่หลุดฉุดไว้ให้ตรอมตรม
รัดเป็นปมปิดห้องจำจองใจ
อยากสะเดาะเลาะตรวนที่ตรึงจิต
ปล่อยชีวิตทาสรักจักเริ่มใหม่
แต่ยิ่งไขยิ่งแน่นร้าวแก่นใน
เดินบ่ไหวแม้วันผ่านมาเนิ่นนาน
๏ ล่องผ่านคิงส์มิ่งขวัญคู่เคมบริดจ์
เห็นโบสถ์คริสต์สูงสง่าศาสน์สถาน
ลานหญ้าเขียวเย็นตาพาเบิกบาน
แว่วเสียงประสานประเสริฐใสกล่อมใจคน
ริมฝั่งแคมแต้มสวยด้วยต้นหลิว
โปรยกิ่งปลิวย้อยสยายราวสายฝน
ทอดหย่อมเงาเย้าผิวธารดั่งม่านมนต์
ต้องตาคนคราไหวพริ้วในริ้วลม
หลิวไสวพาใจฉันให้สั่นหนาว
คิดถึงคราวเขาเอ่ยรักแรกสุขสม
ยังจำกลิ่นกายหอมใคร่ดอมดม
รื่นภิรมย์สมหวังริมฝั่งแคม
แต่บัดนี้เขาร้างไกลไม่อยู่แล้ว
เสียงที่แว่วหวามหวิวเหนือผิวแก้ม
กลายเป็นเสียงสะกิดใจเจ็บเหน็บแนม
เยาะเย้ยแซมเสียงกิ่งหลิวลู่สีกัน
๏ แล้วล่องผ่านสะพานแคลร์แลลูกหิน
ลูกนั้นบิ่นวิ่นเว้าหายคล้ายใจฉัน
แม้หินแกร่งยังแหว่งได้ตามกาลวัน
ใจฉันนั้นฤๅจะต้านทานรักนี้...
พลัดตกน้ำดำขึ้นใหม่ไม่ยากนัก
แต่ตกรักหลุมลึกอย่านึกหนี
ติดน้ำวนตนรอดได้หากกายดี
แต่เสียทีติดรักวนหนทางตัน
ลำน้ำใสใจกลับขุ่นเพราะครุ่นคิด
เหตุไฉนชีวิตพลันผกผัน
จากที่พร่ำคำรักเป็นร้อยพัน
เปลี่ยนเป็นลืมหน้ากันบ่หันแล
โอ้ความรักสลักลงตรงกลางอก
คิดไม่ตกยกไม่ออกยอกเป็นแผล
ถูกศรรักปักพิษพาดิ้นแด
หวังเพียงแต่กาลเวลาเป็นยาใจ
๏ ครั้นพั้นท์ผ่านบ้านนิติทรินิตี้ฮอลล์
พลางคิดย้อนยามสังสรรค์วันสดใส
ห้องหนังสือทรงนาวามุ่งหน้าไป
ยังจำได้บนชั้นสองนั่งมองมา
คิดถึงวันรับปริญญาเมื่อครานั้น
พ่อแม่ฉันชื่นแช่มแย้มหรรษา
แม่เลือกห่มชมพูใสไหมแพรวา
พ่อแต่งผ้าแดงเลือดนกปกเนคไท
แต่ตอนนี้มีแค่เราให้เหงาคว้าง
จิตอ้างว้างกลางกลุ่มคนบนธารไหล
ดั่งลูกนกหกเหินบินสู่ถิ่นไกล
ต้องสู้ไหวให้ท่านสรวลก่อนหวนรัง
รอหน่อยนะลูกจะรีบเร่งศึกษา
ให้วิทยานิพนธ์เสร็จสมดังหวัง
แล้วจะกลับก้มกราบเท้าท่านอีกครั้ง
นั่งแทบตั่งปรนนิบัตรแบบเช่นเคย
๏ ล่องมาเทียบทรินิตี้ตึกสีสวย
แหล่งร่ำรวยสินราชาดูผ่าเผย
นั่นผู้คุมในเครื่องแบบเคร่งจังเลย
ต้องเตือนเอ่ยหากอาจย่ำเหยียบหญ้างาม
ข้างทรินิตี้มีเซนต์จอห์นส์บรรเจิดคู่
บริดจ์ออฟไซห์ส์สะพานหรูดูเกรงขาม
หอนาฬิกาไร้หน้าปัดบอกโมงยาม
บนลานสนามมีห่านเป็ดเตร็ดเตร่ไป
ครั้นเห็นสะพานมอดลินลอยตรงหน้า
ก็นึกได้หมดเวลาเถลไถล
ต้องพั้นท์หวนทวนวารีวกกลับไว
ก่อนหัวใจจะจมต่ำใต้ลำคลอง
ตะวันคล้อยขอบฟ้านภาหม่น
ทั่วแห่งหนเลือนรางทางเรือล่อง
แว่วสำเนียงเสียงน้ำแคมค่อยขับร้อง
ราวกับต้องการกล่าวคำอำลา
๏ ตะวันแดงแสงสุดท้ายจับปลายฟ้า
เอ่ยวาจาเว้าวอนอ้อนปักษา
ในวันพรุ่งรุ่งอรุณเราจะมา
เยือนนภาหาเจ้าใหม่ให้แสงทอง
แต่ตอนนี้มีอันจำต้องจาก
อยากจะฝากฝังรักเป็นแสงส่อง
คิดถึงเราคราใดให้เจ้ามอง
ขึ้นบนท้องนภาพลางพิศแสงจันทร์...
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗
เคมบริดจ์